หมวดที่ ๑ , ๒ , ๓ , ๔ , ๕ , ๖ , ๗ , ๘ , ๙ , ๑๐ , ๑๑ , บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ ๑. | มูลนิธินี้มีชื่อว่า มูลนิธิส่งเสริมทีคิวเอ็มในประเทศไทย ย่อว่า มสท. เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Foundation for TQM Promotion in Thailand ย่อว่า FTQM |
ข้อ ๒. |
เครื่องหมายของมูลนิธินี้คือ |
ข้อ ๓. |
สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ที่ |
ข้อ ๔. |
วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
๔.๒ ส่งเสริมการศึกษา วิเคราะห์ สถานภาพและปัญหาอุปสรรคของการประยุกต์ใช้แนวคิด TQM |
ข้อ ๕. |
ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรกคือ |
ข้อ ๖. |
มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้ |
ข้อ ๗. |
กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ |
ข้อ ๘. |
กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ |
ข้อ ๙. |
มูลนิธิดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ คน แต่ไม่เกิน ๑๕ คน |
ข้อ ๑๐. | คณะกรรมการของมูลนิธิประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับข้อ ๙ |
ข้อ ๑๑. | วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้ ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่เลือกตั้งประธานกรรมกรมูลนิธิและกรรมการอื่นๆ ตามจำนวน ที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ |
ข้อ ๑๒. | กรรมการดำเนินงานของมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๓ ปี |
ข้อ ๑๓. | การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม |
ข้อ ๑๔. | กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก |
ข้อ ๑๕. |
ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง ให้กรรมการของมูลนิธิ ที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่กรรมการ ของมูลนิธิต่อไป จนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่ |
ข้อ ๑๖. | คณะกรรมการมูลนิธิ มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการของมูลนิธิ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และภายใต้ ข้อบังคับนี้ให้มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้ ๑๖.๑ กำหนดนโยบายของมูลนิธิ และดำเนินงานตามนโยบายนั้น ๑๖.๒ ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ของมูลนิธิ ๑๖.๓ เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงิน และบัญชีงบดุล รายได้รายจ่ายต่อกระทรวงมหาดไทย ๑๖.๔ ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ และวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้ ๑๖.๕ ตราระบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ ๑๖.๖ แต่งตั้งหรือถอดถอน คณะอนุกรรมการขึ้นหนึ่งคณะหรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ ๑๖.๗ เชิญผู้ทรคุณวุฒิหรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ ๑๖.๘ เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ ๑๖.๙ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ ๑๖.๑๐ แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าน้าที่ประจำของมูลนิธิ มติให้ดำเนินการตามข้อ ๑๖.๗, ๑๖.๘ และ ๑๖.๙ ต้องเป็น มติเสียงข้างมากของที่ประชุม และที่ปรึกษาตามข้อ ๑๖.๙ ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญ เท่านั้น ๑๖.๑๑ เป็นผู้แทนของมูลนิธิในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก |
ข้อ ๑๗. | ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ ๑๗.๑ เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ๑๗.๒ สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ๑๗.๓ เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือการลงลายมือชื่อในเอกสารข้อบังคัและ สรรพหนังสือ อันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือกรรมการมูลนิธิผู้ได้รับ มอบหมายให้ทำการแทนได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้ ๑๗.๔ ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับและมติของคณะกรรมการมูลนิธิ |
ข้อ ๑๘. | ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิ ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการ แทน |
ข้อ ๑๙. | ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น |
ข้อ ๒๐. | เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประจำของมูลนิธิ ติดต่อประสานงานทั่วไป รักษาระเบียบ ข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุม ตลอดจนรายงานกิจการมูลนิธิ |
ข้อ ๒๑. | เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และเป็น ไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด |
ข้อ ๒๒. | สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ ให้ชัดเจน |
ข้อ ๒๓. |
คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่นๆ ของมูลนิธิได้ |
ข้อ ๒๔. | คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอน อนุกรรมการได้ตามความเหมาะสมโดยจะแต่งตั้งให้เป็น อนุกรรมการประจำห รือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศาเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิ ไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการหรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ ก็ให้อนุกรรมการแต่งตั้ง กันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้ |
ข้อ ๒๕. |
อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่ง จนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมาย ให้กระทำส่วนคณะอนุกรมมการประจำอยู่ใน |
ข้อ ๒๖. | คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำทุกๆ ปี ภายในเดือนมีนาคม และต้องมี กรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อย 5 คน จึงจะเป็นองค์ประชุม |
ข้อ ๒๗. | การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิจำนวนอย่างน้อย 5 คน แสดงความประสงค์ขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้ |
ข้อ ๒๘. | กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดไว้ ในส่วน ที่เกี่ยวข้องกับการประชุม ให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเอง และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์ประชุมให้ใช้ข้อ ๒๖ บังคับโดยอนุโลม |
ข้อ ๒๙. | ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของ ที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติ ทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุม คณะกรรมการ มูลนิธิในคราวต่อไป ถ้ามติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำ หรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ |
ข้อ ๓๐. |
ในกรประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือประธานที่ประชุม มีอำนาจ เชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ หรือผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้ |
ข้อ ๓๑. | ประธานกรรมการมูลนิธิ รือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทนมีอำนาจอนุมัติสั่งจ่ายเงินได้ คราวละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจาก คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก |
ข้อ ๓๒. | เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดย่อยไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) |
ข้อ ๓๓. | เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาลให้การค้ำประกัน แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร |
ข้อ ๓๔. | การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วสั่งจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทนกับ เลขานุการ หรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้ |
ข้อ ๓๕. | การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงาน ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุน เงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนา ให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ และรายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ |
ข้อ ๓๖. |
ให้คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดรอบระยะเวลาบัญชี และจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิในรอบระยะเวลา บัญชีที่ผ่านมา เสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี |
ข้อ ๓๘. |
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้ โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิ เข้าประชุมไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมด และการอนุมัติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า สามในสี่ของจำนวนกรรมการที่เข้าร่วมประชุม |
ข้อ ๓๙. | ถ้ามูลนิธิต้องการล้มเลิกไปโดยมติของคณะกรรมการ หรือโดยเหตุผลใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลือ อยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิแก่มูลนิธิอุตสาหกรรมพัฒนา และ มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง ประเทศไทย มูลนิธิละครึ่งหนึ่ง |
ข้อ ๔๐. |
การสิ้นสุดมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิให้ต้องศาลสั่งเลิกด้วย เหตุต่อไปนี้ |
ข้อ ๔๑. | การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการ ที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด |
ข้อ ๔๒. | ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิมิได้ กำหนดไว้ |
ข้อ ๔๓. |
มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกันหรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตาม |